ชูนโยบายโค้งสุดท้ายดึงคะแนนคน กทม. : จุดกระแสหยุดโกง

แค่ออกสตาร์ตใช้งบประมาณทำโปสเตอร์ แผ่นพับ ป้ายเล็กถุงปุ๋ย 5 พันใบ ซึ่งนำไปใช้ต่อได้ และอื่นๆสำหรับรณรงค์หาเสียงประมาณ 2.5 ล้านบาท

ซึ่งได้มาจากเงินบริจาค พยายามประหยัดที่สุด ใช้งบประมาณไม่เกินเงินเดือนผู้ว่าฯ กทม. 4 ปี 5.4 ล้านบาท

ตอกย้ำแบรนด์ตรวจสอบการทุจริต เริ่มตั้งแต่โครงการจัดซื้อยา-เวชภัณฑ์มูลค่ากว่าพันล้านบาท หยุดแปรรูป กฟผ. 3.4 ล้านล้านบาท เพื่อหยุดยั้งค่าไฟแพงจนถึงวันนี้ ทวงคืนท่อก๊าซสมบัติชาติ 1.6 หมื่นล้านบาท

จากที่เคลื่อนไหวหยุดโกงร่วมกับภาคประชาชน สั่งสมประสบการณ์จนตกผลึก วิธีสะสางการโกงชนิดสะเด็ดน้ำได้ต้องเข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร ดั่งสำนวน “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก”

สิ่งที่เราเห็นมาโดยตลอด การทุจริตคอร์รัปชันมันเกิดขึ้นในระดับสูง แล้วการจัดการปัญหานี้ต้องเปลี่ยนแปลงตรงจุดนั้น

เวลานี้ต้องถามว่าจะเลือกใคร…?

ถึงเชื่อมั่นว่าเข้าไปแล้วไม่คอร์รัปชัน!

“ถ้าพี่เข้าไปหัวไม่ส่ายแน่ เราเชื่อมั่นอย่างนั้น เพราะไม่ได้คิดว่าการเปลี่ยนแปลง กทม.อยู่ที่มือเราทั้งหมด เชื่อว่า กทม.มีคนที่มีเจตจำนงอยากเปลี่ยนแปลงเยอะ

ถ้าเลือกเราเข้าไปก็เป็นเครื่องมือหนึ่งของประชาชนให้ดีที่สุด เพื่อร่วมด้วยช่วยกันขัดการคอร์รัปชัน ปัญหานี้ไม่ได้เพียงเลือกผู้ว่าฯ แล้วจบ

มันคือจุดเริ่มต้นของการจัดการ ซึ่งจุดนั้นอาจเป็นมหาสงครามใหญ่ในการเข้าไปขัดการคอร์รัปชัน ภายใต้เราต้องมีความเชื่อ ต้องมีความใฝ่ฝันว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้”

ขอเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันเปิดประตูให้ภาคประชาชน

เขย่าภูเขาน้ำแข็งแห่งการทุจริตคอร์รัปชัน

ปัญหานี้ยุติได้ต้องเป็นเจตจำนงของประชาชน

ขอย้ำว่าเราเป็นเพียงแค่ตัวแทนอำนาจของประชาชน และคิดอยู่เสมอว่าอำนาจยุติคอร์รัปชันคืออำนาจของประชาชน ที่เขาใช้เราเป็นเครื่องมือ เราก็จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดให้กับประชาชน…ถ้าเขาเชื่อ?

“คนหนุ่มสาวเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในวันนี้ ในฐานะที่เราเป็นเยาวชนยุคต่อเนื่องเหตุการณ์ 14 ต.ค.16 ขอมองอย่าง อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ที่เราคุ้นเคยกับลูกชายของท่าน

ท่านบอกว่าการลุกฮือของประชาชนช่วง 14 ต.ค.16 สิ่งที่ไม่เคยพูดออกมาอย่างแท้จริง คือ คนเหล่านั้นไม่ต้องการทุจริตคอร์รัปชัน ที่มาจากอำนาจผูกขาด

สิ่งที่ดำเนินการมาถึงยุคนี้ คนยังลุกขึ้นมาเรียกร้อง ต่อสู้สูญเสียชีวิตกันในแต่ละเหตุการณ์ทางการเมือง

สิ่งนี้คือประชาชนต้องการ แต่ประชาชนอาจรู้สึกว่าไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเป็นไปได้ จึงทำให้เราไม่ได้มาต่อสู้ในนามพรรคการเมืองไหน กลุ่มทุนไหน

เราเข้ามาต่อสู้ในนามประชาชนเหมือนกับชาว กทม.นี่แหละ ถ้าเขาเชื่อมั่น เห็นประวัติการต่อสู้ที่ผ่านมาของเรา เขาอาจจะเชื่อมั่น”

สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกตีกรอบ คอร์รัปชันจึงเบ่งบาน คอร์รัปชันเบ่งบานเท่ากับเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัด มันคือเรื่องเดียวกัน น.ส.รสนา บอกว่าถูกต้อง

เพราะประชาธิปไตยมันคืออำนาจของประชาชน อย่างน้อยต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความเสมอภาคภายใต้กฎหมายเดียวกัน

ไม่ใช่คนรวย คนมีอำนาจมีเสรีภาพมากกว่าคนอื่น แบบนี้สังคมมันล้มเหลว ต้องการอย่างนั้นหรือ เราไม่ต้องการ

ฉะนั้นที่ลงสมัครอิสระ เพราะไม่ต้องการอยู่ภายใต้พรรคการเมือง ไม่ต้องถอนทุนเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน

การขจัดทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นงานใหญ่ ต้องจัดการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วเมื่อนั้นก็สามารถมีทรัพยากรเพียงพอที่แบ่งปัน จัดสรรให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกคน

สมมติ ภูเขาน้ำแข็งแห่งคอร์รัปชันใน กทม. 20% จากงบประมาณ 8 หมื่นล้านบาทต่อปี ลดการคอร์รัปชันไป 20% ก็มีงบประมาณเพิ่มอีก 1.6 หมื่นล้านบาท

และถ้า กทม.ยังมีศักยภาพทำรายได้จากกรุงเทพธนาคม บริหารงานโปร่งใส กทม.ย่อมมีงบประมาณเพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งไม่ใช่แค่มาจากภาษีของประชาชน งบประมาณที่มากพอจัดสวัสดิการสร้างคุณภาพชีวิตให้ชาว กทม.

อาทิ กระจายงบ 50 ล้านบาทต่อเขต ให้คนในพื้นที่ตัดสินแก้ปัญหา บำนาญประชาชน 3 พันบาทต่อเดือน ไม่ต่อสัมปทานบีทีเอส ลดค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย

ฟ้าทะลายโจรและยาไทยฟรีทุกบ้าน เพื่ออยู่กับโควิด กลับมาทำมาหากินได้อย่างมั่นคง เลิกไล่จับหาบเร่แผงลอย โดยจัดทำเลขายดีให้ถูกกฎหมาย สะอาด ปลอดภัย

ระบายน้ำท่วม จ้างขุดลอก 1.6 พันคลอง ฟื้นวิถีท่องเที่ยวเวนิสตะวันออก ตั้งกองทุนหลังคาบ้านโซลาร์เซลล์ ประหยัดค่าไฟฟ้า 500 บาทต่อเดือน เลิกรอคิวนานโดยยกระดับ 69 ศูนย์อนามัย กทม. เป็นโรงพยาบาล 24 ชม. รักษาฟรี

ยังมีวันสต๊อปเซอร์วิสบริการรับจดแจ้งและจัดหาต้นกัญชาให้ทุกครัวเรือนอย่างสะดวกรวดเร็ว หลังรัฐบาลเปิดไฟเขียวปลดล็อก 9 มิ.ย.65

มั่นใจได้อย่างไร 4 ปี จัดการเขย่าและทำลายภูเขาน้ำแข็งแห่งการคอร์รัปชันได้ น.ส.รสนาบอกว่า การถูกต่อต้านจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ

แต่ถ้าประชาชนเห็นด้วยกันที่จะเดินหน้าต่อ ถ้าทุกคนร่วมใจกัน พยายามช่วยกัน อย่างน้อยหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ยิ่งหางกระดิกไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ต

ต้องทำให้เป็นพื้นที่สว่าง ประชาชนได้รับรู้ข้อมูล

ธุรกิจเอกชนแข่งที่คุณภาพ ไม่ใช่แข่งที่เงินใต้โต๊ะ

งุบงิบอยู่ในที่มืดๆ เพียงไม่กี่คน ทำเหมือนประชาชนไม่มีอำนาจหลังจากหย่อนบัตร ทั้งที่ผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับชาติมานับไม่ถ้วนแล้ว

ฉะนั้นขอประกาศว่า จะเป็นตัวแทนของคนที่ไร้อำนาจ Power Of Powerless เพราะประชาชนต้องมีอำนาจ อำนาจเป็นของประชาชนตลอดเวลา เราเป็นเพียงตัวแทนที่เขาเลือกเข้าไปทำหน้าที่

“สัญญาเมกะโปรเจกต์กับเอกชน หรือโครงการต่างๆ ที่เอกชนประมูลได้ ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเลย ไม่ต้องใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารมาขอให้ เปิดเผยข้อมูลในเรื่องนั้นๆ

ภาษีที่เก็บจากประชาชนนำไปใช้อะไร งบประมาณถูกใช้อย่างไร ถูกต้องและเหมาะสมไหม ประชาชนต้องรู้ หรือกรณีถนนหินแกรนิตพ่นไฟ บนถนนข้าวสาร มันเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งการทุจริตหรือไม่

แล้วฐานภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ ชาว กทม.มองไม่เห็นมีอีกเท่าไหร่ จุดนี้ต่างหากที่จะเข้าไปจัดการ เพื่อนำทรัพยากรกลับมาสร้างคุณภาพชีวิตให้ชาว กทม.ทุกคน”

ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ที่เดินหน้ามาถือว่าเราทำดีที่สุด แล้วจะได้รับเลือกหรือไม่ ชาว กทม.เป็นผู้ตัดสิน เพราะหลายครั้งที่เราต่อสู้เรื่องต่างๆเกี่ยวกับการปกป้องผลประโยชน์มหาศาลของชาติ

มีหลายคนบอกว่าไม่มีทางสำเร็จ ก็ถามกลับว่ามีแต่เรื่องชนะเท่านั้นหรือที่จะทำ ที่ทำเพราะเชื่อว่ามันถูกต้อง ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ แสดงว่ายังทำไม่ดีพอ ทำไม่มากพอ ต้องพยายาม
ทำต่อไปให้ดีขึ้น

สำหรับเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าล้มเหลว ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง มีแต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ว่าเรายังทำไม่ดีพอเท่านี้เอง

หวังว่าชาว กทม.คงไม่ติดในมายาคติผลโพลหรือสื่อชี้นำ

ต้องคิดจากจุดยืนในสิ่งที่คน กทม.ต้องการจริงๆ คืออะไร

สุดท้ายหักปากกาเซียนได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับชาว กทม.

ทีมการเมือง