‘เพนกวิน’ 37 วันอดข้าว ‘รุ้ง’ เข้า 23 กล่าวกับทนายทั้งน้ำตา สำคัญสุด การต่อสู้ไปต่อได้ด้วย ‘มวลชน’

‘เพนกวิน’ 37 วันอดข้าว ‘รุ้ง’ เข้า 23 ฝากคำขอบคุณผ่านพี่สาว กล่าวกับทนายทั้งน้ำตา สำคัญที่สุด การต่อสู้จะยังไปต่อได้ ด้วย ‘มวลชน’

สืบเนื่องจากกรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำราษฎร ผู้ต้องโทษในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 เเละข้อหาอื่นๆ จากการชุมนุมปักหมุดท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน 2563 ประกาศอดข้าวประท้วงจนกว่าจะได้ประกันตัว ซึ่งต่อมามีผู้ประกาศร่วมอดอาหารตามด้วย นั้น

เมื่อวันที่ 21 เมษายน กลุ่มศิลปะปลดแอก ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโวเชียลมีเดีย โดยระบุว่า

#อดอาหารประท้วง
#Day37 ของเพนกวิน
#Day23 ของรุ้ง

ทนายความอัพเดตว่ารุ้งซูบผอมไปเยอะมากเมื่อเทียบกับ 2 สัปดาห์ก่อน น้ำหนักเธอลดลงราว 11 กิโล หลังจากอดอาหารมาได้ 23 วัน ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนยันหนักแน่นว่าจะอดอาหารพร้อมกับเพนกวินต่อไปจนกว่าจะได้รับสิทธิประกันตัว

“ขอบคุณที่ทำให้คำพูดของเรามันขยายผล เราได้เห็นแล้วกับสิ่งที่ทุกคนทำในตอนนี้ หวังว่าสิ่งที่พวกเราทำกันจะทำให้เกิดผลที่ให้เราได้ชื่นใจกัน” รุ้งฝากคำขอบคุณถึงทุกคนผ่านพี่สาวของเธอ

การคุมขังผู้บริสุทธิ์ ลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี ถือเป็นการทำลายโอกาสของนักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เป็นหนึ่งในอนาคตของชาติอย่างไร้มนุษยธรรม เพราะในขณะที่เพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันได้สอบกลางภาค รุ้งและเพนกวินกลับต้องอยู่ในเรือนจำ ไม่ได้สอบ และยังไม่แน่ใจว่าการสอบปลายภาคช่วงเดือน พ.ค. จะได้ไปสอบหรือไม่ ทั้งคู่อาจสิ้นสภาพการเป็นนักศึกษาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะในเรือนจำไม่อนุญาตให้พวกเขาเรียน หรือกระทั่งพกสมุดปากกาด้วยซ้ำ

“แม้แต่เรื่องชุดชั้นในที่รุ้งหาซื้อในเรือนจำไม่ได้เพราะไม่มีไซส์ ตอนที่เธอได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวครั้งก่อน เธอเคยพยายามนำชุดชั้นในไซส์ใหญ่มาบริจาคให้ผู้ต้องขังหญิง แต่ทางเรือนจำกลับปฏิเสธ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวที่เรือนจำมีขายเฉพาะผืนเล็กสำหรับเช็ดผม ซึ่งเธอต้องเลือกซับเฉพาะจุดสำคัญเพื่อให้ทันเวลาอาบน้ำที่โดนจำกัด แน่นอนว่าสุขอนามัยที่ไม่ดีทำให้ผู้ต้องขังหลายคนมีปัญหาโรคผิวหนัง รุ้งเองก็มีผดผิวหนังเนื่องจากความชื้น” ทนายความเขียนเล่าเรื่องที่คุยกับรุ้ง

“คนที่อยู่ข้างนอก คือ ความหวังของคนที่อยู่ข้างใน เราจะได้ออกหรือไม่ได้ออก มันอยู่ที่มวลชนจริงๆ ในการต่อสู้ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แรงที่สำคัญที่สุดที่ทำให้การต่อสู้ยังไปต่อได้คือมวลชน” รุ้งกล่าวกับทนายทั้งน้ำตา

พวกเราจะร่วมส่งเสียงให้ถึงศาล จนกว่าจะคืนสิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมให้แก่นักโทษการเมืองทุกคน!!! #คืนคําพิพากษาให้ผู้พิพากษาคืนความยุติธรรมให้ประชาชน

กิจกรรม #ยืนหยุดขัง ทั่วประเทศ
+ (กรุงเทพฯ) กิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ 1.12 ชั่วโมง ที่หน้าศาลฎีกา ทุกวัน เวลา 17.00 น. กับพลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen
+ (กรุงเทพฯ) กิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ 1.12 ชั่วโมง ที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ฝั่งธนาคารกรุงเทพ ทุกวัน เวลา 17.00 น.
+ (นนทบุรี) กิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ 112 นาที ที่หอนาฬิกาท่าน้ำนนทบุรี ทุกวัน เวลา 17.30 น.
+ (นครปฐม) กิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ 112 นาที ที่ศาลจังหวัดนครปฐม (เก่า) หรือศาลแขวงนครปฐม ถนนเทศา ซอย 3 ทุกวัน เวลา 17.00 น.
+ (เชียงใหม่) กิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ 112 นาที ที่ลานอเนกประสงค์อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จ.เชียงใหม่ ทุกวัน เวลา 17.00 น.
+ (ขอนแก่น) กิจกรรม ‘ยืนหยุดขัง’ 1.12 ชั่วโมง ที่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ฝั่งมิตรภาพ) ทุกวัน เวลา 17.00 น.

#ได้โปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วย
#ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน
#ปล่อยเพื่อนเรา
#ยกเลิก112

ขณะที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ ได้โพสต์ภาพ ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมระบุข้อความ ใจความว่า

( คัดมาจาก ฟ.บ. วาด รวี )

มวลชนคือ “กระแสความรู้สึก” ถ้าเพนกวินอดอาหารจนเสียชีวิต ความตายของเขาจะไม่ปลุกเร้าคนให้ลุกขึ้นมา แต่จะสร้างกระแสความรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง เพราะคนที่รู้สึกรู้สากับชีวิตของเพนกวิน ก็คือคนกลุ่มเดียวกับที่ออกมาเป็นมวลชนที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ “รู้อยู่แล้ว” ว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นยังไง “รู้อยู่แล้ว” ว่าผลลัพธ์ของการอดอาหารจะเป็นยังไง ความตายของเพนกวินจะไม่ทำให้พวกเขาหึกเหิมอยากต่อสู้ แต่จะสร้างความรู้สึกแย่ กับภาวะที่ตัวเองไม่สามารถจะทำอะไรได้ มันจะนำไปสู่ความหดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้กับภาวะที่เป็นอยู่ ความตายของเพนกวินอาจสะกิดคนกลางๆ ที่อยู่ห่างไป คนที่ยังสะลึมสะลือได้บ้าง แต่ทุกวันนี้คนแบบนี้เหลือน้อยแล้ว คนที่คิดอีกแบบ อยู่อีกฝ่ายไปเลยจะไม่สนใจและไม่รู้สึกอะไรเลย ความตายของเพนกวินอาจเป็นข่าว แต่จะห่างไกลจากการสร้างแรงกดดันจากต่างประเทศ ผลเฉพาะหน้าอาจจะมีบ้างแต่ทำอะไรรัฐบาลไทยไม่ได้

กรณีพม่าคนตายเป็นเบือแรงกดดันจากตะวันตก ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจทหารพม่าเลย กรณีแบบนี้เป็นเรื่องยืดเยื้อยาวนาน มันจะกัดกร่อน ไทยอย่างแน่นอน แต่เป็นผลในระยะยาว

สิ่งที่ไม่เป็นที่นิยมอยู่แล้วก็จะไม่มีผลสะเทือนมากนักกับการไม่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น ปี 2549 ความตายของนวมทอง ไพรวัลย์ ไม่ได้ปลุกให้เกิดมวลชนบนท้องถนนและไม่สร้างแรงกดดันอะไรให้กับ คมช. เลย แต่ในระยะหลายปีต่อมากรณีนี้ปลุกจิตสำนึกคนได้จำนวนหนึ่ง คนที่ถูกปลุกคือคนที่ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งมาก แต่อย่างที่กล่าวไปแล้ว ทุกวันนี้คนที่อยู่ตรงกลางๆ มีน้อยลงทุกที

ด้วยความเป็นคนหนุ่มสาว เพนกวินและรุ้งอาจจะมองโลกในแง่ดี และประเมินผลกระทบจากการกระทำของตนเองสูงเกินไป ตัวอย่างที่ผ่านมาของการประเมินที่ไม่ถูกต้อง เช่น ประเมินว่าการพูดในวันที่ 10 สิงหาคม ทำให้ “เพดานพังลงมาแล้ว” ไม่มีเพดานอีกแล้ว ซึ่งไม่จริง การพูดเพียงครั้งสองครั้งไม่ได้ทำให้เพดานของการพูดหายไปในพริบตา มันแค่เปลี่ยนบรรยากาศ แล้วก็กลายเป็นกระแสชั่วคราว

ทุกวันนี้นักวิชาการที่ไม่กล้าพูด ก็ยังไม่กล้าเหมือนเดิม สื่อที่ไม่กล้านำเสนอก็ไม่กล้าเหมือนเดิม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา และเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความต่อเนื่องและต้องการการส่งเสริมจากอำนาจรัฐด้วย ถ้าอำนาจรัฐยังกดเพดานก็ยังอยู่ การต่อสู้แต่ละครั้งขยับเพดานได้ แต่ไม่ใช่พังเพดานให้หายไป การประเมินว่าการอดอาหารของตนเองจะสร้างผลกระทบในแง่บวกให้กับขบวนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยเป็นการมองในแง่ดีจนเกินไป

การจะเปิดโปงให้โลกรับรู้ถึงความไม่ปรกติของขบวนการยุติธรรมไทย อันที่จริงก็เกิดขึ้นมานานแล้ว โลกรับรู้หลายกรณีมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผลกระทบที่จะสร้างแรงกดดันก็ยังไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำที่จะเกิดแบบพลิกฝ่ามือได้ แต่ผลต่อขบวนประชาธิปไตยที่มองเห็นเค้าลางแล้วตั้งแต่ตอนนี้คือมันเป็นการกดดันมวลชน ซึ่งจริงๆไม่ใช่ “มวลชน” แต่เป็นปัจเจกจำนวนมากที่กระจายกันอยู่

ผมมองตรงกันข้ามกับที่พูดกันว่าคนที่อยากให้เลิกอดอาหารกำลังกดดันเพนกวินนะ การอดอาหารต่างหากที่กำลังกดดันคนที่อยู่ข้างนอกให้ทำอะไรสักอย่าง ในภาวะที่โควิดระบาดระลอกสามแบบนี้ มวลชนจะทำอะไรได้สักกี่มากน้อย และสิ่งที่เรียกว่ามวลชนมันคือ “กระแสความรู้สึก” ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความรู้สึกทำอะไรไม่ได้ มันจะกัดกร่อนผู้คน และสุดท้ายแล้วมันจะทำให้คนรู้สึกดาวน์ และมวลชนจะฝ่อ

ที่พูดมาไม่ได้มองเพนกวินกับรุ้งเป็นแกนนำอะไรเลย แต่เห็นว่าพวกเขาคือคนหนุ่มสาวที่มีไฟ มีพลัง แต่ก็เป็นคนธรรมดาที่มีทั้งความกล้าและความกลัว มีเข้มแข็ง มีอ่อนแอ และที่สำคัญมีการตัดสินใจที่ผิดได้ จากการประเมินที่ไม่ถูกต้อง ผมไม่เห็นด้วยกับการโยนภาระในการนำการต่อสู้ไปให้พวกเขา ถ้ามันหนักเกินไปก็ไม่ต้องแบก ชีวิตยังมีด้านอื่นๆ อีกมาก ถ้าคิดถึงการต่อสู้หนทางมันยังอีกยาวนาน และการที่เพนกวินและรุ้งมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสิ่งที่ดีต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมากกว่าเอาชีวิตเข้าแลกในตอนนี้