ธันวาคม 27, 2025

คนกรุงเทพ

ข่าวกรุงเทพ

หายนะหรือโอกาส? รวม 7 ปรากฏการณ์​โลกการทำงาน 2025 ทั้งไทย-ทั่วโลก

ปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถือเป็นปีที่วัยทำงานทั้งในไทยและทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับคลื่นยักษ์แห่งความเปลี่ยนแปลงที่โถมกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นแรงกระแทกจาก AI ที่เข้ามาเปลี่ยนกติกาเดิมๆ หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจนทำให้ความมั่นคงในอาชีพกลายเป็นเพียงภาพจำในอดีต โลกการทำงานวันนี้จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และหลายคนยอมรับว่าการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแบบรายวันนั้น “ยากลำบาก” กว่าที่คิด

กรุงเทพธุรกิจ การทำงานและความเป็นผู้นำ ได้รวบรวมและสรุปภาพรวมโลกการทำงานส่งท้ายปี 2025 มาให้เช็กลิสต์กันว่า ในปีที่ผ่านมาพวกเราต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และนี่คือ 7 ปรากฏการณ์สำคัญที่อยากให้คนทำงานย้อนทบทวนดูกันอีกครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจฉากทัศน์โลกการทำงานปีที่ผ่าน และจะได้วางแผนเตรียมรับมือชีวิตการทำงานในปีหน้า 2026 กันต่อไป

1. ทำงานหนัก ชีวิตปังหรือพัง? อาจไม่สำเร็จเท่ารุ่นพ่อแม่

จากรายงาน Aflac WorkForces Report ปี 2025 พบความจริงที่น่าตกใจว่าคนทำงานกว่า 72% กำลังเผชิญภาวะหมดไฟ (Burnout) สูงสุดในรอบ 6 ปี โดยคีย์สำคัญที่เป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งคือ “ภาระงานที่หนักล้นมือ” ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามถึง 35% ระบุชัดเจนว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาหมดแรง วัยทำงานยุคนี้ต้องแบกรับหน้าที่ที่ทับซ้อนภายใต้โครงสร้างองค์กรที่พยายามลดต้นทุน ทำให้คนหนึ่งคนต้องทำงานแทนคนสองหรือสามคน กลายเป็นวงจรการทำงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

สิ่งที่น่าเจ็บปวดคือ แม้จะทุ่มเททำงานหนักเพียงใด แต่ความสำเร็จกลับดูห่างไกลกว่ารุ่นพ่อแม่มาก เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและความเปราะบางของตลาดแรงงาน ทำให้ความพยายามไม่สะท้อนออกมาเป็นความมั่นคงทางการเงินเสมอไป ความเครียดนี้ลามไปถึงระดับสูงสุด ข้อมูลจาก Challenger, Grey & Christmas เผย อัตราการลาออกของซีอีโอทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1,914 คน และมีผู้บริหารระดับสูงเสียชีวิตในตำแหน่งถึง 19 คน มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 สะท้อนว่างานที่หนักเกินพอดีกำลังพรากทั้งสุขภาพและชีวิตของคนทำงานไปอย่างน่ากลัว

อ่านเพิ่ม:
ทำงานหนักแต่รู้สึกไร้ค่า วัยทำงานหมดไฟสูงสุดในรอบ 6 ปี!
ซีอีโอ 19 คนเสียชีวิต เหตุเหนื่อยล้าสุดขีดทั้งร่างกาย-จิตใจ

2. ซีอีโอหมดไฟ-ลาออกพุ่ง คนรุ่นใหม่ไม่อยากขึ้นเป็นผู้นำ

สืบเนื่องจากความเครียดที่พุ่งสูง ปรากฏการณ์ “Unbossing” จึงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลจาก DDI พบว่าผู้นำองค์กรกว่า 71% กำลังเผชิญภาวะเครียดจัด และ 40% พิจารณาลาออกเพื่อรักษาสุขภาพจิต ขณะที่คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z กว่า 39% ยืนยันชัดเจนว่า “ไม่อยากขึ้นรับตำแหน่งผู้นำ” เพราะไม่อยากแบกรับความกดดันที่กระทบต่อสมดุลชีวิต

ผลสำรวจจาก Randstad USA เสริมว่า 57% ของพนักงานรุ่นใหม่ยอมปฏิเสธงานที่กระทบสมดุลชีวิต พวกเขาเลือกที่จะทำงานในระดับเดิมแต่มีเวลาใช้ชีวิต มากกว่าจะแลกความสุขกับตำแหน่งที่ดูเท่แต่กัดกินจิตใจ ซึ่งภาวะนี้อาจส่งผลให้องค์กรเกิดสุญญากาศในตำแหน่งงานระดับผู้บริหารในอนาคต

ทั้งนี้ สอดคล้องกับวัฒนธรรมใหม่ของชาว Gen Z อีกอย่างที่เรียกว่า “Office Frogging” หรือ “การกระโดดเปลี่ยนงานบ่อยๆ” คล้ายกับกบที่กระโดดไปตามใบบัว โดยพนักงานคนรุ่นใหม่มักจะเลือกกระโดดออกจากงานเก่าอย่างรวดเร็ว เพื่อไปสู่งานใหม่ที่ให้เงินเดือนสูงกว่า แต่ก็ไม่อยากไต่เต้าสู่ตำแหน่งงานสูงขึ้นในบริษัทเดิม พวกเขามองหางานที่เครียดน้อยกว่า ได้อัปสกิลใหม่ และหาเส้นทางอาชีพที่มั่นคงขึ้นในเส้นทางของตัวเอง

อ่านเพิ่ม:
ผู้นำ 71% เครียด หมดไฟสูง Gen Z ขอเลี่ยงบทบาทนี้

Office Frogging เปลี่ยนงานบ่อย เน้นเพิ่มเงินเดือนไม่เอาตำแหน่ง

3. คลื่นปลดคนออกหนักหน่วง และปรากฏการณ์ “AI-washing”

ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ โดยมีเทคโนโลยีเป็นข้ออ้าง บริษัทชื่อดังระดับโลกอย่าง Amazon, UPS และ Target มีการเลิกจ้างรวมกันกว่า 60,000 ตำแหน่ง โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเพียง “AI-washing” หรือการใช้ AI เป็นฉากหน้าเพื่อกลบเกลื่อนการบริหารงานที่ผิดพลาดและเพื่อลดต้นทุนอย่างเนียนๆ

ความจริงที่เจ็บปวดคือ หลายบริษัทไม่ได้ลดคนเพราะ AI ทำงานแทนได้จริงในตอนนี้ แต่เป็นการลดจำนวนพนักงานเพื่อนำงบประมาณไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ AI แทน ขณะที่พนักงานที่เหลืออยู่ต้องแบกรับภาระงานมากขึ้นภายใต้ความกลัวว่าจะถูกแทนที่ในสักวัน

อ่านเพิ่ม: AI-washing บริษัทอยากปลดคน แต่ใช้ AI เป็นข้ออ้าง

4. ปรากฏการณ์ “Workslop” AI สร้างงานขยะ

แทนที่ AI จะมาช่วยแบ่งเบาภาระ กลับเกิดปรากฏการณ์ “Workslop” หรือการผลิตผลงานที่ “ดูดีแต่ใช้ไม่ได้จริง” AI ผลิตรายงานและเอกสารออกมาในปริมาณมหาศาลที่ขาดความลึกซึ้งและเต็มไปด้วยข้อมูลผิดพลาด ผลสำรวจจาก BetterUp พบว่า พนักงานต้องเสียเวลาเฉลี่ยเกือบ 2 ชั่วโมงเพื่อมานั่ง “แก้งานขยะ” จาก AI ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อผลิตภาพมหาศาล

รายงานจาก MIT ระบุว่ามีเพียง 5% ขององค์กรเท่านั้นที่เห็นผลตอบแทนจาก AI ชัดเจน ส่วนที่เหลืออีก 95% กำลังจมอยู่กับกองงานขยะที่ AI สร้างขึ้น ส่งผลให้คนเก่งๆ เริ่มหมดไฟในการทำงาน เพราะต้องใช้พลังงานไปกับสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์และงานที่ต้องตามล้างตามเช็ดไม่จบสิ้น

อ่านเพิ่ม: Workslop งานเหมือนจะปัง แต่พัง! AI สร้างงานขยะ

5. บีบเกษียณเร็วขึ้น เมื่อ “วัย 45+” ต้องเผชิญความสั่นคลอนทางอาชีพ

ความเชื่อที่ว่าจะทำงานจนถึงวัยเกษียณในอายุ 60 ปี ถูกพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อยักษ์ใหญ่ในไทยอย่าง KBank เปิดโครงการเออร์ลี่รีไทร์สำหรับพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไป กลายเป็นสัญญาณเตือนว่าอายุการทำงานในระบบอาจสั้นลงเรื่อยๆ ปัจจัยหลักคือต้นทุนพนักงานรุ่นใหญ่ที่สูงกว่าพนักงานรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีและใช้ AI ได้คล่องกว่า

กูรูด้านการทำงานมองว่า นี่คือการทลายกรอบเดิมๆ ของโลกการทำงาน พนักงานในวัย 45 ปีที่ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่แก่ กลับถูกมองว่าอยู่ช่วงปลายของการทำงานในระบบประจำ ทำให้วัยทำงานยุคนี้ต้องรีบอัปสกิลและวางแผนสำรองตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะคำว่า “งานประจำที่มั่นคง” อาจไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป

อ่านเพิ่ม: เกษียณ 45+ หางานใหม่ไหวไหม? ฮาวทูอยู่รอดในโลกงานยุคใหม่

6. เทรนด์ Shrekking at work ลดสเปกงานแลกเวลาชีวิต

เพื่อหนีจากความเครียดสะสม คนรุ่นใหม่เริ่มหันไปหาเทรนด์ “Shrekking at work” หรือการเลือกทำงานที่ต่ำกว่าความสามารถจริง พวกเขาเต็มใจรับงานที่ง่ายกว่า กดดันน้อยกว่า และยอมรับเงินเดือนที่น้อยลง เพื่อแลกกับเวลาส่วนตัวและความสงบทางใจ เหมือนการเลือกความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ดีที่สุดแต่ทำให้รู้สึกปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่อาจส่งผลเสียระยะยาวจนเกิดภาวะ “Rust-out” หรือความเบื่อหน่ายเรื้อรังจากการไม่ได้ใช้ศักยภาพ ซึ่งจะทำให้ประวัติการทำงานดูด้อยค่าลงและยากที่จะกลับเข้าสู่เส้นทางอาชีพที่ก้าวหน้าในอนาคต หากปล่อยให้ตนเองติดอยู่ในกับดักนี้สบายนานเกินไป

อ่านเพิ่ม: Shrekking at work คนรุ่นใหม่ลดสเปกงาน หนีเครียด

7. “Fatigue” คำแห่งปีโลกการทำงานปี 2025

ปรากฏการณ์สุดท้ายที่เราอยากเน้นย้ำที่สุดก็คือ คำแห่งปีของโลกการทำงาน ซึ่งสรุปภาพรวมได้ดีที่สุด โดย Glassdoor ได้ประกาศให้คำว่า “Fatigue” หรือ “ความอ่อนล้าหมดแรง” เป็นคำแห่งปีของโลกการทำงาน 2025 โดยมีการกล่าวถึงคำนี้เพิ่มขึ้นถึง 41% ในปีเดียว สะท้อนสภาวะ “การฝืนทำงานแม้หมดพลัง” ของคนทำงานทั่วโลก ที่ต้องแบกรับทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจ และความกดดันจากการถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ

สภาวะนี้ทำให้เกิดเทรนด์ “Job hugging” หรือการกอดงานเดิมแน่นแม้จะไม่ชอบ เพราะกลัวความเสี่ยงในตลาดแรงงานที่ซบเซา ทุกปัจจัยประดังประเดเข้ามาจนมนุษย์ทำงานแทบไม่มีช่วงเวลาให้พักฟื้นสภาพจิตใจและชีวิตส่วนตัว

อ่านเพิ่ม: ‘Fatigue’ คำแห่งปีโลกการทำงาน 2025 พนักงานอ่อนล้าขั้นสุด

จากภาพรวมทั้งหมดนี้ เห็นได้ชัดว่าปี 2025 คือปีแห่งการ “ประคองตัว” ท่ามกลางมรสุมความเปลี่ยนแปลง สำหรับก้าวต่อไปในปีหน้า ปี 2026 วัยทำงานไม่เพียงแต่ต้องเร่งอัปสกิลด้านเทคโนโลยีและการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างงานขยะ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสร้าง “Resilience” หรือความยืดหยุ่นทางจิตใจ

การรู้จักบริหารจัดการพลังงานของตัวเอง เพื่อให้พ้นจากภาระงานที่หนักล้นมือ มากกว่าแค่บริหารเวลา และการกล้าที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบงานประจำเดิมๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ไม่ว่าโลกการทำงานจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหนก็ตาม