อาดิดาสยึดจอ Digital Billboard ทั่วกรุงเทพ ส่งต่อแรงบันดาลใจจากเหล่านักกีฬาระดับโลก พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนเอาชนะความกดดันและสนุกไปกับการเล่นกีฬา

อาดิดาส ปลุกพลังคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักกีฬา ให้เอาชนะ แรงกดดัน ด้วยการแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับเรื่องราวความท้าทายต่างๆ ตลอดจนวิธีการรับมือกับความกดดันของเหล่านักกีฬามืออาชีพระดับโลกในเชิงบวก ภายใต้ธีม You Got This ผ่านการเทคโอเวอร์จอ Digital Billboard กว่า 400 จอทั่วกรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนสามารถกลับมาเล่นกีฬาที่รักได้อย่างมีความสุข

จากผลการวิจัยของอาดิดาส[ 1ผลการวิจัยได้รับการบันทึกไว้ระหว่างการซ้อมของนักกีฬา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Brand Campaign adidas SS24 โดยความร่วมมือกับ neuro11 (พฤศจิกายน 2566 – มกราคม 2567) และการศึกษาในครั้งนี้ได้ดำเนินการร่วมกับ Emiliano Martínez, Ludvig Åberg, Nneka Ogwumike, Rose Zhang และ Stina Blackstenius รวมถึงนักกีฬาสมัครเล่นอีก 5 คน]ค้นพบว่า นักกีฬาทุกระดับต่างเคยเผชิญหน้ากับความกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาการแข่งขันรายการใหญ่ที่มีการเดิมพันสูง แต่ทว่านักกีฬาระดับอีลีทกลับมีประสิทธิภาพในการจัดการกับความกดดันได้ดีกว่านักกีฬามือสมัครเล่นถึง 40% ดังนั้น เพื่อช่วยปิดช่องว่างดังกล่าว อาดิดาสจึงได้ร่วมมือกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทางด้านประสาทวิทยา หรือ neuro11 เพื่อเผยให้เห็นถึงผลกระทบของความกดดันที่มีต่อประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา ตลอดจนให้คำแนะนำวิธีในการลดความกดดันให้กับนักกีฬาทุกระดับ

ด็อกเตอร์ นิคลาส ฮอยส์เลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง neuro11 กล่าวว่า “แม้ว่ารูปแบบความกดดันของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ทุกคนจะมีจุดหนึ่งในสมองที่เรียกว่า Optimal Zone ทำให้เกิดความรู้สึก “มีความสุข ดื่มด่ำ และเชื่อมโยงกับสิ่งที่ทำ” โดยความรู้สึกนี้จะทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายในขณะที่จิตใจมีสมาธิมุ่งมั่น ซึ่งนำไปสู่พัฒนาการและประสิทธิภาพสูงสุดทางด้านกีฬา โดยเราได้ศึกษาคลื่นความถี่ในสมองของนักกีฬาขณะที่อยู่ท่ามกลางสถานการณ์กดดัน เพื่อศึกษาว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงโซนดังกล่าวได้บ่อยและลึกซึ้งเพียงใด รวมถึงสิ่งใดคือปัจจัยที่กระตุ้นให้เหล่านักกีฬาเข้าสู่โซนที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าประสิทธิภาพในการเล่นของพวกเขา “แย่เกินไป” หรือ “ยอดเยี่ยมเกินไป” โดยการวิจัยในครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อสานต่อพันธกิจของอาดิดาสในการช่วยให้นักกีฬาทุกคนตระหนักถึงความสามารถอันทรงพลังของตนเอง รวมถึงมอบคำแนะนำที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬาให้ดีที่สุดให้นักกีฬาได้ใช้ในยามจำเป็น”

อาดิดาส และ neuro11 ได้ร่วมมือกันเจาะลึกช่วงเวลาที่กดดันมากที่สุดในวงการกีฬาผ่านการศึกษาเหล่านักกีฬามืออาชีพและนักกีฬาสมัครเล่น ไม่ว่าจะเป็น นักฟุตบอลในขณะยิงลูกโทษ การพัตต์ลูกในหลุมสำคัญของเหล่านักกอล์ฟ และการชู้ตลูกโทษของเหล่านักกีฬาบาสเก็ตบอล เป็นต้น โดยการวิจัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านักกีฬาระดับอีลีท สามารถเผชิญหน้ากับแรงกดดันได้มากเพียงใด และสิ่งใดบ้างที่นักกีฬามือสมัครเล่นทำเพื่อช่วยผ่อนคลายความกดดันให้เบาลง

ฟลอเรียน อัลท์ รองประธานฝ่ายการสื่อสารแบรนด์ ของอาดิดาส โกลบอล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเข้าใจถึงผลกระทบของแรงกดดันด้านลบที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่นกีฬาถือเป็นพันธกิจสำคัญในการช่วยให้เหล่านักกีฬาทั่วโลกสามารถเอาชนะความกดดันเพื่อปลดล็อกถึงความสุขในการเล่นกีฬาได้อย่างเต็มที่ โดยก่อนจะก้าวเข้าสู่ปีที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกกีฬา เรามีความตั้งใจที่จะช่วยส่งเสริมนักกีฬาในรุ่นต่อไปให้สามารถรับมือกับความกดดันได้อย่างดีที่สุด ผ่านอินไซต์และวิธีจัดการความกดดันของเหล่านักกีฬาระดับโลก นอกจากนี้เรายังได้ทำการเปิดตัวเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายความกดดันในการเล่นกีฬาให้กับทุกคนด้วยการใช้ข้อมูลและการวิจัยล่าสุดทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ โดยเราหวังว่าแคมเปญนี้ จะช่วยสนับสนุนให้นักกีฬาทุกคนสามารถกลับไปรักในการเล่นกีฬาได้อีกครั้ง”

ทั้งนี้ อาดิดาส ประเทศไทย ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโกลบอลแคมเปญ ที่ส่งพลังบวกให้ทุกคน ผ่านคำว่า You Got This เพื่อส่งมอบแรงบันดาลใจ และปลุกความคิดให้ทุกคนได้มีความสุข ความสนุกกับการเล่นกีฬาที่ตนเองรักอีกครั้ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความกดดันรอบตัว ผ่านการเทคโอเวอร์จอ Digital Billboard กว่า 400 จอทั่วกรุงเทพเป็นเวลา 30 นาที ทั้งบริเวณสยามสแควร์ สยามดิสคัฟเวอรี สยามพารากอน เซนทรัลเวิลด์ BTS พร้อมพงษ์ และบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ อีกมากมาย เพื่อแชร์เรื่องราวอันน่าประทับใจรวมถึงวิธีการรับมือและเอาชนะความกดดันที่ต้องเผชิญของนักกีฬาระดับโลกให้สามารถก้าวข้ามความกดดันต่างๆ และกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างมีความสุข

ผู้ที่สนใจสามารถรับชมวิดีโอของเหล่านักกีฬาระดับโลกและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแคมเปญได้ที่ช่องทาง อินสตาแกรม @adidasthailand เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/adidasTH adidas.co.th และแฮชแท็ก #YouGotThis

ที่มา: โกลิน