ตุลาคม 16, 2025

คนกรุงเทพ

ข่าวกรุงเทพ

8 ทุนใหญ่ปิดกิจการ บริษัทลูกอินโดรามา-กลุ่มทรู ‘ถอยทัพ’

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานการจดทะเบียนธุรกิจในเดือนก.ค.2568 โดยการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนก.ค.2568 มีจำนวน 1,825 ราย ลดลง 3% ทุนจดทะเบียนเลิก 20,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% ส่วนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร

รวม 7 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) มีการเลิกธุรกิจ 8,069 ราย เพิ่มขึ้น 1.77% ทุนจดทะเบียนเลิก 50,700 ล้านบาท ลดลง 40.76% โดยธุรกิจ 3 อันดับ เหมือนกับที่เลิกของเดือนก.ค.2568

สำหรับการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในช่วง 7 เดือน แรกของปี 2568 มีจำนวน 8,069 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท รวม 8 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 22,520 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ประกอบกิจการนำเข้าและส่งออก ยารักษาโรค เภสัชภัณฑ์เคมีภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทุกชนิด ทุนจดทะเบียน 1,568 ล้านบาท

2.บริษัท คิตากาว่า (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น ทุนจดทะเบียน 2,560 ล้านบาท

3.บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด หรือสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ ซึ่งประกอบกิจการขนส่ง และขนถ่ายสินค้า และคนโดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทุนจดทะเบียน 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)

4.บริษัท บางกอกโซลาร์ จำกัด ประกอบกิจการนำเข้า ส่งออก ผลิต ค้าส่งแผ่นเซลล์แสงอาทิตย์ ทุนจดทะเบียน 1,432 ล้านบาท

5.บริษัท ซัสเทนเอเบิล เอนเนอยี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประกอบกิจการบริการรับเป็นที่ปรึกษา และแนะนำปัญหาเกี่ยวกับด้านบริหารงานพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม ทุนจดทะเบียน 1,091 ล้านบาท

8 ทุนใหญ่ปิดกิจการ บริษัทลูกอินโดรามา-กลุ่มทรู ‘ถอยทัพ’

6.บริษัท อินโดรามา ปิโตรเคม จำกัด ประกอบกิจการผลิต ส่งออก นำเข้า ทำ ซื้อ ขาย แผ่นโพลีเอสเตอร์เส้นใยโพลีเอสเตอร์เส้นด้าย โพลีเอสเตอร์ ทุนจดทะเบียน 10,146 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)

7.บริษัท ทรู ไลฟ์ พลัส จำกัด ประกอบกิจการให้บริการเกมออนไลน์ ทุนจดทะเบียน 2,575 ล้านบาท ซึ่งเดิมชื่อบริษัททรู ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เป็นบริษัทย่อยของกลุ่มทรู

8.บริษัท ทรู อีโลจิสติกส์ จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการข้อมูลข่าวสารวิชาการในด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาการบริหาร การพัฒนาองค์การเทคโนโลยี และอื่นๆ ทุนจดทะเบียน 1,347 ล้านบาท เดิมชื่อบริษัท ทรู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด เป็นบริษัทย่อยของกลุ่มทรู

ในขณะที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนก.ค.2568 มีจำนวน 7,710 ราย เพิ่ม 9.78% ทุนจดทะเบียน 22,018 ล้านบาท เพิ่ม 21.56 % โดยธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร

รวม 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.- ก.ค.) ตั้งใหม่ 51,548 ราย ลดลง 4.93% ทุนจดทะเบียน 171,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.41% โดยในช่วงดังกล่าวมีบริษัทจดทะเบียนใหม่ 11 แห่ง ที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท รวมทุนจดทะเบียน 44,367 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.บริษัท อีลิท เทคโนโลยีคอร์ปอเรชั่น จำกัด ประกอบกิจการ ผลิต จำหน่าย ส่งออก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ,คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ ต่อพ่วง ทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท

2.บริษัท ไทยน้ำทิพย์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น ทุนจดทะเบียน 11,024 ล้านบาท

3.บริษัท ฮ็อป อินน์โฮเต็ล จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการโรงแรม อพาร์ตเมนต์ ซึ่งจัดให้มีบริการทำความสะอาด บริการรักษาความปลอดภัย จำหน่ายอาหาร และให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุนจดทะเบียน 3,575 ล้านบาท

4.บริษัท คอมเปค เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิต นำเข้า ส่งออก และจำหน่าย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อุปกรณ์เครื่องกล เครื่องมือทั่วไป แม่พิมพ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ ทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท

5.บริษัท เจ็ม-เยียร์อินดัสเทรียล จำกัด ประกอบกิจการผลิต จำหน่าย นำเข้า-ส่งออก สลักภัณฑ์ เช่น สกรูนอต สตัด รีเวท และอุปกรณ์ สำหรับยึดติดต่างๆ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ทุนจดทะเบียน 1,380 ล้านบาท

6.บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าเป็นหุ้นส่วนจำกัด ความรับผิดในห้างหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศเพื่อประโยชน์ของบริษัท ไม่ว่านิติบุคคลนั้นจะมีวัตถุประสงค์ทำนองเดียวกันกับ บริษัทหรือไม่ก็ตาม ทุนจดทะเบียน 14,939 ล้านบาท

7.บริษัท อิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์จาระบี และสินค้าอื่นๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานคล้ายคลึงกัน ทุนจดทะเบียน 1,580 ล้านบาท

8.บริษัท ภูเก็ต อาร์บีวัน จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม ทุนจดทะเบียน 1,062 ล้านบาท

9.บริษัท ราชดำริ ฮอสพิทอลลิตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม ทุนจดทะเบียน 2,600 ล้านบาท

10.บริษัท เหอลี่ อินดัสเทรียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิต ประกอบ และจำหน่ายยานยนต์อุตสาหกรรมครบวงจร ทุนจดทะเบียน 2,001 ล้านบาท

12.บริษัท ดับเบิ้ลยูทียู ซินดิเคทจำกัด ประกอบกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่า พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ขายฝาก ตลอดจนทะเบียนสิทธิ์ใด ๆ ซึ่งอาคารชุด ทุนจดทะเบียน 1,204.49 ล้านบาท

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์สัดส่วนของการจัดตั้งธุรกิจและจดเลิกในช่วง 7 เดือนของปี 2568 อยู่ที่ 6 ต่อ 1 หรือจัดตั้ง 6 ราย เลิก 1 ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567)

ส่วนยอดตั้งใหม่ที่มี 51,548 ราย สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่มีจำนวน 48,040 ราย โดยธุรกิจที่เติบโตสูง 3 อันดับแรก คือ ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เพิ่มขึ้น 50.16% ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตและห้องชุด เพิ่มขึ้น 46.90% และธุรกิจขนส่ง ขนถ่ายสินค้าและคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 23.46%

โควิดกระทบชิ้นส่วนยานยนต์ปิดบริษัท

นายสุพจน์ สุขพิศาล เลขาธิการ Cluster of FTI Future Mobility-ONE และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปี 2566 เป็นช่วงที่หนักหนาสาหัสสุดสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่กระทบ คือ ภายหลังวิกฤติโควิด-19 เกิดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ไฟแนนซ์ไม่อนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะที่เป็นตลาดหลักของไทยลดลงต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เมื่อรวมกับความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งค่ายรถยนต์จีนเข้ามาทำตลาดใน และยังไม่ได้ใช้ซัพพลายเชนในประเทศทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัวอย่างหนัก

“สถานการณ์ที่สะสมมาส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่แล้วยอดผลิตและยอดขายโดยรวมลดลง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ลดลงด้วยเช่นกันในระดับ 30% มีบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ประมาณกว่า 10 แห่งที่ต้องยุติกิจการลง” นายสุพจน์ กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน คือ บริษัท คิตากาว่า (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ทุนจดทะเบียน 2,560 ล้านบาท  ได้เลิกธุรกิจนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนจากภาวะวิกฤติดังกล่าวที่ธุรกิจเริ่มประสบปัญหาช่วงหลังโควิดไม่นาน โดยจะมีข่าวประกาศปิดกิจการปลายปี 2566

ทั้งนี้ การจ้างงานของบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.พนักงานบริษัท 2.ซับคอนแทรกต์ และ 3.ลูกจ้างลักษณะ Outsource อาทิ รปภ. แม่บ้าน และคนขับรถ ดังนั้น เมื่อธุรกิจแย่ลงช่วงปี 2565-2566 สิ่งที่ทำก่อนคืนซับคอนแทรกต์ที่แจ้งยกเลิกสัญญาล่วงหน้า 1 เดือน และเมื่อไม่ไหวก็บริหารจัดการโดยลดจำนวนพนักงานและ Zero Over Time ซึ่งมี OT และอยู่ในภาวะเลิกกิจการ

ผลกระทบวัฏจักรปิโตรฯขาลง

แหล่งข่าวจากธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กล่าวว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของโลกอยู่ในภาวะวัฏจักรขาลงมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลามากกว่า 3 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั้งบริษัท อินโดรามา ปิโตรเคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ก็ได้ประกาศเลิกกิจการเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ

ทั้งนี้ วัฏจักรขาลงกระทบผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีวงกว้าง รวมถึงบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่เช่นกัน ซึ่งทำให้ต้องขยับตัวเพื่อนำพาธุรกิจให้รอดจากสถานการณ์นี้ หนึ่งในแนวทางที่กำลังศึกษาคือปรับพอร์ตกิจการบริษัทลูกในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี คือ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC, บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP และ บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC

“ขณะนี้ทีมผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. อยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาและปรับโครงสร้างของทั้ง 3 บริษัท เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการรับมือกับภาพอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทั่วโลกที่กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาลง (Downcycle) มาอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ได้พยายามเจรจากับพันธมิตต่างประเทศเพื่อเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมธุรกิจด้วย”

อย่างไรก็ตาม การที่ปิโตรเคมีเกิดผบลกระทบทั่วโลกดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากโรงงานปิโตรเคมีของจีนที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) จำนวนมาก ส่งผลให้มีการผลิตสินค้ากลุ่มปิโตรเคมีออกมาล้นตลาด กดดันให้ราคาปิโตรเคมีทั่วโลกลดลงต่อเนื่อง

พิสูจน์อักษร….สุรีย์   ศิลาวงษ์